นักเรียนคุยไม่หยุด? แชร์ 6 วิธีจัดการห้องเรียนแบบสร้างสรรค์

หมวดหมู่: พื้นที่เพื่อนครู

Tags: 

อ่านแล้ว: 69 ครั้ง


ภาพประกอบความรู้

ห้องเรียนควรเป็นพื้นที่การเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์

แต่ครูหลายคนคงเคยเจอปัญหา “นักเรียนคุยกันไม่หยุด” ซึ่งส่งผลต่อบรรยากาศการเรียนรู้ในภาพรวม เช่น

  • เพื่อนเสียสมาธิ
  • ครูเสียเวลาคุมชั้นเรียน
  • เด็ก ๆ คนอื่นไม่กล้ามีส่วนร่วม

อย่างไรก็ตาม ห้องเรียนที่ “เสียงดัง” ไม่ได้แปลว่า “เรียนรู้ไม่ได้” และห้องเรียนที่ “เงียบ” ก็ไม่ได้หมายถึง “ดีเสมอไป” สิ่งสำคัญคือ “จังหวะที่เหมาะสม” ในแต่ละช่วงของการเรียนรู้ ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมนักเรียนจึงคุยไม่หยุด?

  1. นักเรียนคิดว่าคุณครูไม่จริงจัง คุณครูอาจเคยดุหรือบ่นนักเรียน เมื่อเสียงดังแล้วก็ปล่อยผ่าน หรือไม่มีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน ทำให้นักเรียนคิดว่าคุณครูไม่จริงจัง หรือเดี๋ยวครูก็ปล่อยผ่านไป จึงไม่สนใจในคำเตือนของครู

  2. นักเรียนตีความ “หยุดคุย” ต่างกัน นักเรียนบางคนตีความการหยุดคุย เป็น “พูดเบา ๆ” “คุยตอนครูไม่พูดได้” “คุยแต่ทำงานส่งก็พอ” หรือ “คุยตอนทำงานเสร็จแล้วได้”

ดังนั้น ทั้ง 2 สาเหตุ จึงนำไปสู่สถานการณ์ “พูดไม่หยุด” ของนักเรียน

วันนี้แนะแนวฮับมานำเสนอ 6 วิธีการจัดการชั้นเรียนแบบสร้างสรรค์

ชื่อภาพ

ข้อที่ 1 : อธิบายความคาดหวังให้ชัดเจน

เป็นวิธีการเริ่มต้นเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักเรียน โดยคุณครูสื่อสารความคาดหวังว่าต้องการให้นักเรียนทำอะไร หรือ ไม่ควรทำอะไร ในช่วงเวลาไหน

ตัวอย่าง คุณครูอธิบายว่า “ในขณะที่ครูเรียกเพื่อนมาทดสอบรายคน ครูขอความร่วมมือนักเรียนให้นั่งอยู่กับที่ ตั้งใจตรวจทานข้อสอบของตัวเอง และสิ่งที่ครูอยากขอความร่วมมือ คือ ขอให้นักเรียนไม่ลุกขึ้นเดินไปมาในห้องเรียน หรือคุยกับเพื่อน”

ซึ่งในขณะที่ครูอธิบายนั้นก็สามารถจำลองสถานการณ์ หรือแสดงพฤติกรรมเพื่อให้นักเรียนเห็นภาพได้ชัดเจน

ชื่อภาพ

ข้อที่ 2 : ฝึกฝนการนิ่งเงียบ

เป็นวิธีการที่ให้นักเรียนลองฝึกแสดงพฤติกรรม ‘นิ่งเงียบ’ และการรับฟัง รวมถึงการชวนนักเรียนสะท้อนประโยชน์ของความเงียบที่ดีในชั้นเรียนว่าเป็นอย่างไร

ตัวอย่าง : คุณครูลองให้โจทย์นักเรียนว่า “ครูให้เวลา 3 นาที ขอให้ทุกคนลองไม่พูดคุยกัน และลองสังเกตว่า หากห้องเรียนของเราเงียบ บรรยากาศจะเป็นอย่างไร” โดยการที่ครูลองลุกขึ้นยืน เดินวนรอบ ๆ ห้อง สบตานักเรียนทีละคน และยกนิ้วชื่นชม หากนักเรียนทำได้ดี

จะเห็นได้ว่า คุณครูสามารถทำให้เป็นเรื่องสนุกได้ ซึ่งนักเรียนจะยิ่งชื่นชอบและอยากที่จะทำตามมากขึ้น

ชื่อภาพ

ข้อที่ 3 : ใช้กลยุทธ์สัญญาณมือ

บ่อยครั้งที่นักเรียนบางคนอาจจะลำบากใจเมื่อเพื่อนชวนคุย เพราะไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร คุณครูสามารถสอนกลยุทธ์สัญญาณมือนี้ เช่น “หากชูกรรไกร หมายถึง ขอโทษนะ ฉันกำลังตั้งใจฟังครูอยู่ ไว้คุยกันทีหลัง” เพื่อให้นักเรียนสามารถตอบโต้เพื่อนโดยที่ไม่มีเสียงได้

ตัวอย่าง : ก่อนเริ่มคาบเรียน คุณครูทำข้อตกลงกับนักเรียนว่า หากทำสัญญาณมือแบบนี้มีความหมายว่าอย่างไร เพื่อให้นักเรียนสามารถตอบโต้เพื่อนในทางที่เหมาะสมและสร้างบรรยากาศที่ดีให้เกิดขึ้นได้

การที่คุณครูใช้วิธีนี้ จะช่วยให้นักเรียนไม่ขัดแย้งกันเองในเชิงคำพูด สร้างให้นักเรียนเกิดความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตัวเองและลดการตอบสนองที่รุนแรงที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้นในห้องเรียน

ชื่อภาพ

ข้อที่ 4 : ชวนเรียนรู้ผลที่จะตามมา

เป็นวิธีการระดมความคิด เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพของผลที่เกิดขึ้นตามมา ผ่านการอธิบายกฎระเบียบและระดับการลงโทษที่ชัดเจนเป็นขั้นตอน

ตัวอย่าง : คุณครูชวนนักเรียนพูดคุยและแสดงความคิดเห็นถึง ‘กติการ่วมกันในห้องเรียน’ โดยมีวิธีการ ดังนี้

  • ครูเริ่มต้นจากโจทย์ข้อที่ 1 “นักเรียนอยากให้บรรยากาศห้องเรียนเป็นอย่างไร” และให้นักเรียนเขียนลงโพสอิท 3-5 นาที
  • ถัดมา ครูแจกโจทย์ข้อที่ 2 “ถ้านักเรียนอยากให้ห้องเรียนเป็นอย่างที่หวัง นักเรียนจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร” และให้นักเรียนเขียนลงโพสอิทอีกครั้ง
  • และแจกโจทย์ข้อที่ 3 ว่า “หากนักเรียนปฏิบัติ/ไม่ปฏิบัติตามกติกา ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” โดยการเขียนลงโพสอิท
  • หลังจากนั้น คุณครูให้นักเรียนอ่านโพสอิทที่ตัวเองเขียนทีละคน โดยเรียงลำดับจากโจทย์ข้อที่ 1-3 และคุณครูทำหน้าที่สรุปรวบยอดความคิดข้อที่ ‘เหมือน’ และ ‘ต่างกัน’ จนออกมาเป็น ‘กติการ่วม’ ของห้องเรียน

อย่างไรก็ตาม การแสดงให้นักเรียนเห็นถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่ตามมา คุณครูจะต้องชัดเจนในแนวทางของตนเองก่อน ซึ่งถ้าคุณครูสามารถชวนนักเรียนออกแบบกติกาที่มีทั้งการเสริมแรงเชิงบวกและเชิงลบได้ร่วมกันตั้งแต่คาบแรก การเรียนรู้นี้จะเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ชื่อภาพ

ข้อที่ 5 : ย้ำความคาดหวังเป็นระยะ ๆ แบบสั้น ๆ

เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและควรทำทุกครั้งก่อนที่จะเริ่ม หรือเปลี่ยนกิจกรรม

ตัวอย่าง : ถ้าคุณครูกำลังให้นักเรียนทำงานเดี่ยว ควรจะอธิบายสั้น ๆ ว่า คุณครูคาดหวังพฤติกรรมใดจาก นักเรียน และพฤติกรรมใดที่ไม่ควรทำ จะช่วยเป็นการย้ำเตือนนักเรียนอีกช่องทาง

การใช้เวลาสั้น ๆ เพื่อย้ำความคาดหวังอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สามารถป้องกันความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

ชื่อภาพ

ข้อที่ 6 : รอคอยและยืนหยัดในกติกา

เป็นวิธีการที่อาศัยความอดทนและความใจเย็น เพื่อจะทำให้นักเรียนเข้าใจและกลับมาสู่เส้นทางของการฝึกฝนปรับปรุงพฤติกรรมอีกครั้ง

ตัวอย่าง หากวันไหนที่ครูทำทุกวิธีทางแล้วก็ยังไม่สามารถควบคุมห้องเรียนได้ สิ่งที่ทำได้ คือ “รอ” จนกว่านักเรียนจะเงียบ โดยการยืนหรือนั่งนิ่งอย่างใจเย็น หากนักเรียนเริ่มเงียบลงแล้ว ขอให้คุณครูย้ำความคาดหวังอีกครั้ง และถ้านักเรียนคนไหนไม่เข้าใจ ขอให้ยกมือถาม

หยุดรออีกครั้ง แล้วจึงให้สัญญาณเริ่มต้นเพื่อกลับมาสู่การสอนใหม่

วิธีการนี้ คือการสร้าความเคารพให้กับตัวเองและนักเรียน ยืดหยัดในความคาดหวังและกติกา โดยที่คุณครูไม่ต้องบ่น ดุด่า หรือว่าตำหนินักเรียน แต่ขอให้ใช้ ‘กติกาและความคาดหวัง’ เป็นเครื่องนำทางในการกู้บรรยากาศห้องเรียนคืนมา

ทั้ง 6 วิธีการนี้ เป็นเคล็ดลับเบื้องต้นในการสร้างบรรยากาศห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้แต่กระบวนการที่สำคัญที่สุด คือ การสร้างกติการ่วมกัน เพื่อให้นักเรียนรู้สึกเป็นเจ้าของ และรับผิดชอบกับการการกระทำต่างๆ

ทุกวิธีการต้องอาศัย ‘ระยะเวลา’ และ ‘ความสม่ำเสมอ’ เพื่อฝึกสร้างนิสัยที่ดีให้แก่นักเรียน อาจจะต้องทำร่วมกับกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย ดังนั้น ขอให้คุณครูอย่าเพิ่งท้อแท้และหมดหวังนะคะ

ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ 🙂

บทความที่เกี่ยวข้อง - รู้จักข้อตกลงร่วม https://guidancehubth.com/knowledge/10

แปลและเรียบเรียงจาก


พิเศษ! เปิดคอร์สออนไลน์ชวนคุณครูที่ต้องสอนแนะแนวทุกท่านมาเรียน

ชื่อภาพ

หลักสูตรการเรียนการสอนแนะแนวและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Online)

ถ่ายทอดโดยเพื่อนครูแนะแนวผู้มีประสบการณ์ตรงในการนำไปใช้จนเห็นผลการเปลี่ยนแปลง พร้อมเคล็ดลับและคำแนะนำที่สามารถใช้ได้จริง

✅ เรียนฟรี

✅ ได้ไอเดียและกิจกรรมไปใช้สอนแนะแนว

✅ มีเกียรติบัตร

คลิกสมัครและเริ่มเรียนได้ที่ https://guidancehubth.com/courses


แชทคุยกับเรา