อ่านสัญญาณใจเด็ก ผ่าน Adverse Childhood Experiences (ACEs) (ประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก)

หมวดหมู่: พื้นที่เพื่อนครู

Tags: 

อ่านแล้ว: 156 ครั้ง


ภาพประกอบความรู้

คุณครูหลายท่านอาจเคยเผชิญกับพฤติกรรมของเด็ก ๆ ที่ซับซ้อน และรับมือได้ไม่ง่าย เช่นการใช้ความรุนแรง การหลบเลี่ยงสังคม ไม่มาโรงเรียน ไม่เข้ากลุ่มเพื่อน หรือขาดการโฟกัสในการเรียน ก่อกวนห้องเรียน

คำถามแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวคุณครูอาจเป็น “ทำไมเด็กคนนี้เป็นแบบนี้นะ?” “แล้วฉันจะจัดการพฤติกรรมนี้ยังไง?” จนอาจเผลอรีบเข้าไปจัดการพฤติกรรมดังกล่าว โดยยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจ “ที่มา” หรือ “เบื้องหลัง” พฤติกรรมเหล่านั้นเลยใช่ไหมคะ

แนะแนวฮับอยากชวนคุณครูมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Adverse Childhood Experiences (ACEs) หรือ ประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ที่มักส่งผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดในห้องเรียน

การทำความเข้าใจประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กจะช่วยให้คุณครู…

  1. มองพฤติกรรม “ท้าทาย” หรือ “ไม่เหมาะสม” ของเด็กเป็นสัญญาณของความเครียดหรือบาดแผล แทนที่จะมองว่าเด็กเกเร ดื้อ หรือก้าวร้าว ช่วยให้ครูเลือกวิธีการตอบสนองได้อย่างเหมาะสม เช่น การให้คำแนะนำ หรือสร้างพื้นที่ปลอดภัย แทนการลงโทษอย่างรุนแรงอย่างการทุบตี

  2. ปรับการสอนที่ยืดหยุ่นและสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและเชื่อถือได้ในห้องเรียน ช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและพร้อมเรียนรู้

  3. สังเกตสัญญาณความเครียดหรือปัญหาสุขภาพจิต และช่วยเชื่อมต่อเด็กกับนักจิตวิทยา ครูแนะแนว หรือบริการช่วยเหลืออื่น ๆ

  4. ลดความเสี่ยงที่เด็กจะมีปัญหาสุขภาพจิต สุขภาพร่างกาย หรือพฤติกรรมเสี่ยงในอนาคต

ดังนั้นการเข้าใจเรื่อง ACEs มีประโยชน์ต่อคุณครูและนักเรียนในหลายมุม ดังนั้นมาเริ่มรู้จัก ACEs กันเลยค่ะ

นิยามของ Adverse Childhood Experiences

คือ ประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก หมายถึง เหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่เด็กประสบความทุกข์ทรมานทางร่างกาย จิตใจ หรือสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในระยะยาว ประสบการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนอายุ 18 ปี ชื่อภาพ

การศึกษาสุขภาพจิตของสิงคโปร์ (Singapore Mental Health Study, 2016) โดยสถาบันจิตเวชแห่งสิงคโปร์ (IMH) พบว่า

สาเหตุของประสบการณ์เลวร้าย ที่พบบ่อยที่สุด 5 อันดับของเด็ก ๆ ในสิงคโปร์ ได้แก่

  • การละเลยทางอารมณ์ (emotional neglect) คือ การที่ผู้ปกครองละเลยความรู้สึกและไม่ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของเด็ก เช่น ไม่ชื่นชม ไม่ปลอบโยน ไม่ถามไถ่ 46.5%
  • การแยกทางหรือหย่าร้างของพ่อแม่ หรือการสูญเสียพ่อแม่ 21.8%
  • การมีแม่หรือผู้ปกครองหญิงที่ถูกทำร้าย 8.2%
  • การอาศัยอยู่กับสมาชิกในครอบครัวที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย 6%

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น การถูกละเมิดในรูปแบบต่าง ๆ การโดนทำร้ายในครอบครัว เหตุการณ์สะเทือนใจอื่น ๆ อาจรวมถึง การประสบอุบัติเหตุรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์หรือประสบภัยธรรมชาติ

เมื่อกลับมามองเด็กๆ ในประเทศไทยเองก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้จำนวนตัวเลขอาจจะแตกต่าง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน ปัจจัยเหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน

เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดสามารถก่อให้เกิดความเครียดระยะยาวหรือรุนแรง และส่งผลกระทบต่อร่างกายและอารมณ์ของนักเรียนได้ทั้งในระยะสั้น (ในห้องเรียน) และระยะยาว (เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่)

ตัวอย่างผลกระทบที่สังเกตได้ จากเหตุการณ์ที่นักเรียนแสดงออกในห้องเรียน เช่น

  1. ความเครียดทางอารมณ์ : ความกลัว ความกังวล
  2. นักเรียนมักนอนฟุบกับโต๊ะ ไม่สนใจที่จะเรียน
  3. นักเรียนสีหน้าอาการที่ดูอิดโรย ไม่ร่าเริง
  4. ปัญหาพฤติกรรม : ทำตัวเกเร ดื้อ หรือแยกตัวจากสังคม
  5. นักเรียนใช้ความรุนแรงเกินเหตุในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ชกต่อยเพื่อน พูดจาเสียงดัง
  6. นักเรียนทำท่าทีต่อต้าน เมื่อครูหรือเพื่อนพูดจาไม่เข้าหู เช่น เดินออกห้องเรียนในทันที ปิดประตูเสียงดัง
  7. ปัญหาการเรียน : มีปัญหาในการโฟกัส เกรดตก ขาดความสนใจในกิจกรรมโรงเรียน
  8. นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน หลุดโฟกัสได้ง่ายมาก
  9. นักเรียนโดดเรียน ไม่เข้าห้องเรียน ไปนั่งรวมกลุ่ม หรือนั่งคนเดียวนอกห้องเรียน
  10. นักเรียนมีคะแนนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในบางวิชาและแม้แต่ในวิชาที่ตนเองชอบ
  11. อาการทางร่างกาย : ปวดหัว ปวดท้อง หรือมีอาการป่วยอื่น ๆ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
  12. นักเรียนมักบ่นปวดท้อง ปวดหัวตลอดเวลาที่จะต้องเรียน แต่ไม่พบสาเหตุ

ส่วนผลกระทบระยะยาวที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เช่น

  1. ปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า วิตกกังวล โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ
  2. พฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่จัด ติดแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มฆ่าตัวตาย
  3. ปัญหาสุขภาพร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน
  4. ปัญหาความสัมพันธ์ เช่น มักรักษา หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้ในระยะยาว และบางคนส่งต่อบาดแผลไปยังรุ่นลูก

ถึงแม้ว่าบางประสบการณ์ เราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถที่จะป้องกันได้ทั้งหมด เพราะบางเหตุการณ์เกิดขึ้นนอกเหนือการควบคุมของเรา เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือเมื่อสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วยรุนแรง แต่คุณครูสามารถตระหนักถึงภาวะทางอารมณ์ของนักเรียนได้ โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและอบอุ่น เพื่อให้นักเรียนเติบโตอย่างปลอดภัยทั้งกายและใจมากที่สุด ดังนี้

ชื่อภาพ

  1. สร้างความผูกพันและความไว้วางใจ
  2. ให้เวลาพูดคุยกับเด็กเป็นประจำ ฟังโดยไม่ตัดสิน
  3. แสดงความรักและความห่วงใยด้วยคำพูด เช่น “ครูอยู่ตรงนี้นะ”
  4. สัมผัสทางกายอย่างเหมาะสม เช่น การโอบกอด การลูบหัว (ตามความเหมาะสมกับวัย)

  5. การสร้างความปลอดภัยและความมั่นคง

  6. กำหนดกิจวัตรประจำวันที่สม่ำเสมอ เช่น มีการเช็กอินความรู้สึกทุกคาบโฮมรูม และคาบสุดท้ายก่อนเลิกเรียน เพราะการมีกิจวัตรก่อนเริ่มเรียนหรือปิดคาบ จะช่วยให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจเมื่ออยู่ในบรรยากาศห้องเรียน
  7. สร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและยุติธรรม ภายในบ้านหรือห้องเรียน
  8. สร้างพื้นที่ที่เด็กสามารถเล่น เรียนรู้ และพักผ่อนได้โดยปลอดภัย

  9. การส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดเผย

  10. ถามความรู้สึกเด็กด้วยคำถามง่าย ๆ เช่น “วันนี้เธอรู้สึกอย่างไร?”
  11. ฟังความคิดเห็นของเด็กและยอมรับความรู้สึกของเขา แม้ว่าจะเป็นความรู้สึกเชิงลบ
  12. สอนให้เด็กขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกเครียดหรือกลัว

  13. การส่งเสริมทักษะการจัดการอารมณ์

  14. สอนวิธีหายใจลึก ๆ หรือทำสมาธิ เมื่อนักเรียนเกิดความเครียด
  15. เล่นเกมหรือทำกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมาธิและการควบคุมอารมณ์
  16. เป็นตัวอย่างการจัดการอารมณ์ที่เหมาะสม ให้เด็กเรียนรู้จากผู้ใหญ่

  17. การสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาการ

  18. ให้โอกาสเด็กทำกิจกรรมตามความสนใจและความสามารถ
  19. ชื่นชมความพยายามมากกว่าผลลัพธ์ เช่น “พยายามได้ดีมาก!”
  20. ช่วยเด็กตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แล้วสนับสนุนให้สำเร็จ

  21. การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น

  22. ส่งเสริมการเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนในบรรยากาศปลอดภัย
  23. สอนเด็กให้แสดงความเคารพและเอาใจใส่ผู้อื่น
  24. เป็นแบบอย่างของ การสื่อสารและความสัมพันธ์ที่ดี

ทุกพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กสามารถเป็น “สัญญาณ” ของความรู้สึกหรือบาดแผลที่เด็กกำลังเผชิญ เช่น ความก้าวร้าว การถอนตัว อาการเครียด หรือปัญหาการเรียน

การสังเกต การเข้าใจ และตอบสนองอย่างเอาใจใส่จึงเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้เด็กฝ่าฟันประสบการณ์เลวร้าย (ACEs) ฟื้นฟูหัวใจตัวเอง และเติบโตอย่างมั่นคงทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ขอให้คุณครูเชื่อมั่นเสมอว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงใช้เวลา ดังนั้น ค่อยๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจกันและกันอย่างรู้เท่าทันนะคะ 🙂

อ้างอิง Institute of Mental Health. (n.d.). Adverse childhood experiences (ACEs). IMH. https://www.imh.com.sg/Mental-Health-Resources/Conditions-and-Challenges/Pages/Adverse-Childhood-Experiences.aspx


พิเศษ! เปิดคอร์สออนไลน์ชวนคุณครูที่ต้องสอนแนะแนวทุกท่านมาเรียน

ชื่อภาพ

หลักสูตรการเรียนการสอนแนะแนวและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Online)

ถ่ายทอดโดยเพื่อนครูแนะแนวผู้มีประสบการณ์ตรงในการนำไปใช้จนเห็นผลการเปลี่ยนแปลง พร้อมเคล็ดลับและคำแนะนำที่สามารถใช้ได้จริง

✅ เรียนฟรี

✅ ได้ไอเดียและกิจกรรมไปใช้สอนแนะแนว

✅ มีเกียรติบัตร

คลิกสมัครและเริ่มเรียนได้ที่ https://guidancehubth.com/courses


แชทคุยกับเรา