ปรับพฤติกรรมเชิงลบ ด้วยแผนแทรกแซง BIP ตอนที่ 1

หมวดหมู่: สนับสนุนงานแนะแนว

Tags: 

อ่านแล้ว: 106 ครั้ง


ภาพประกอบความรู้

หนึ่งในความท้าทายของครู ไม่ว่าจะเป็นครูประจำชั้น ครูรายวิชา หรือครูแนะแนว

คือ การช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเอง และเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาอยู่ร่วมกับผู้อื่นและสังคมได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย

เพราะบางครั้ง... พฤติกรรมที่ดูเหมือน “ไม่น่ารัก” หรือ “ไม่เหมาะสม” ก็อาจซ่อนบางอย่างไว้ข้างใน เช่น ความเครียด ความไม่เข้าใจตัวเอง หรือการขอความช่วยเหลือในแบบที่เด็กอาจยังบอกไม่เป็น เติมให้ค่ะ จะได้เพิ่มมู้ดโทนความเข้าใจไม่ตัดสิน

พฤติกรรมเชิงลบที่มักพบเจอในโรงเรียน เช่น

  • แสดงอารมณ์รุนแรงกับผู้อื่นและทำลายข้าวของสาธารณะ
  • แสดงพฤติกรรมที่รบกวนผู้อื่นขณะเรียนหนังสือหรือไม่โฟกัสการเรียน เช่น ส่งเสียงดัง ชวนเพื่อนคุย แอบเล่นเกมขณะเรียน
  • แสดงพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พกพาอาวุธเข้ามาในโรงเรียน

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณครูจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ได้ แต่เราเชื่อว่า หากคุณครูมีเครื่องมือและการวางแผนที่ดี จะช่วยให้คุณครูพบวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบขึ้น

แนะแนวฮับชวนคุณครูมารู้จัก “แผนแทรกแซงพฤติกรรม (Behavior Intervention Plan: BIP)” หนึ่งในกระบวนการที่ถูกพัฒนามาจากวงการจิตวิทยาพฤติกรรม และถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแก้ป้ญหาพฤติกรรมของนักเรียน

ชื่อภาพ

1️⃣BIP คืออะไร ? คือ เครื่องมือในการจัดการและปรับพฤติกรรมนักเรียนที่มีปัญหาซ้ำ ๆ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ของตนเองและเพื่อนร่วมชั้น โดยส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผ่านการวิเคราะห์สาเหตุของพฤติกรรม และการวางแผนอย่างเป็นระบบ ในรูปแบบแผนปฏิบัติการ โดยมีองค์ประกอบสำคัญในแผน ดังนี้

  1. เป้าหมาย (พฤติกรรมที่ต้องการแก้ไขที่เจาะจง ชัดเจน เช่น นักเรียนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน)
  2. กลยุทธ์การแทรกแซง หรือแผนการปรับพฤติกรรม
  3. กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ
  4. การติดตามความก้าวหน้าของแผน

2️⃣เป้าหมายของแผน BIP คือ เพื่อปรับเปลี่ยนหรือป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ผ่านการแทรกแซงระยะสั้น โดยมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง

3️⃣ลักษณะของการเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่ควรใช้แผน BIP

  • เกิดซ้ำบ่อย ๆ (ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วจบ)
  • ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนเองหรือเพื่อน
  • ไม่ตอบสนองต่อวิธีจัดการทั่วไป เช่น การตักเตือนหรือลงโทษเบื้องต้น
  • มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเองหรือผู้อื่น
  • พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเครียดหรือปัญหาทางอารมณ์ เช่น ทำร้ายตัวเอง เก็บตัวอย่างรุนแรง แสดงพฤติกรรมซึมเศร้า

4️⃣ ขั้นตอนการสร้างแผน BiP ชื่อภาพ

✍️ ขั้นตอนที่ 1 : ระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหา

คือ การ “วิเคราะห์” เพื่อทำความเข้าใจว่า "เด็กแสดงพฤติกรรมอะไร" และ "ทำไมจึงแสดงพฤติกรรมนั้น" โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุ/ประเมินพฤติกรรม (Funtional Behavior Asessment: FBA) ผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของนักเรียน โดยการ..

  • สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในสถานการณ์ต่างๆ เช่น ขณะอยู่ในห้องเรียน อยู่กับเพื่อน ช่วงพักกลางวัน หรืออยู่คนเดียว รวมถึงช่วงเวลา สถานที่ คนที่เกี่ยวข้อง และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและหลังพฤติกรรม
  • สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เช่น เพื่อนร่วมห้อง ผู้ปกครอง รุ่นพี่ที่สนิท เป็นต้น
  • ทบทวนประวัติของนักเรียน ผลการเรียน ประวัติทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่าง น้อง A ม.1 ชอบตะโกน พูดเสียงดัง พูดคำหยาบในคาบเรียนคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะอยู่กับเพื่อนหรืออยู่คนเดียว โดยเฉพาะเวลาครูมอบหมายให้ทำงาน ให้ตอบคำถาม พฤติกรรมจะหยุดชั่วคราวเมื่อครูตะโกนชื่อแรง ๆ หรือให้หยุดโดยตรง คุณครูวิชาอื่น ๆ แจ้งว่าไม่มีพฤติกรรมนี้ในคาบเรียน ส่วนคุณแม่แจ้งว่าน้องไม่ชอบเรียนเลขเลย และเคยรู้สึกอายที่ทำข้อสอบไม่ได้ ดูประวัติผลการเรียนแล้ว วิชาคณิตต่ำกว่าวิชาอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่พบปัญหาสมาธิหรือการแพทย์รุนแรง

✍️ขั้นตอนที่ 2 : กำหนดพฤติกรรม

เป็นขั้นตอนที่คุณครูจะต้อง “กำหนดพฤติกรรม” ที่ต้องการจะแก้ไข โดยการสร้างคำจำกัดความขึ้นมา ผ่านคำถาม 5 ข้อ

  • พฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียนคืออะไร (What) : น้อง A ม.1 ตะโกน พูดคำหยาบ
  • นักเรียนมักจะแสดงพฤติกรรมที่ไหน (Where) : คาบเรียนคณิตศาสตร์
  • นักเรียนมักจะแสดงพฤติกรรมเมื่อไร (When) : ตอนทำแบบฝึกหัด
  • นักเรียนมักจะแสดงพฤติกรรมกับใคร (Who) : อยู่กับเพื่อนและคนเดียว
  • นักเรียนทำพฤติกรรมนั้นบ่อยแค่ไหน (How often) : ทุกครั้งที่ต้องเรียนวิชานี้

✍️ขั้นตอนที่ 3 : ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรม

คือ การที่คุณครูพยายามวิเคราะห์ว่า “อะไรเป็นตัวกระตุ้น (Trigger)” และ “อะไรคือผลลัพธ์ (Outcome)” ที่ทำให้พฤติกรรมของนักเรียนเกิดขึ้นซ้ำๆ โดยคุณครูจะต้องระบุ “ปัจจัย” ที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดพฤติกรรม โดย

สังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

  • “ก่อน” พฤติกรรมนั้น เช่น น้อง A รู้สึกว่างานที่ครูมอบหมายยากเกินไป, น้อง A ถูกแยกจากเพื่อนสนิท นำมาสู่ >>>การตะโกน เสียงดัง พูดหยาบคาย คุณครูบันทึกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
  • “หลัง” พฤติกรรม เช่น เมื่อตะโกนแล้ว น้อง A ได้รับความสนใจจากเพื่อน , น้อง A ไม่ต้องทำงานต่อ , ครูหยุดการสอนเพื่อมาตักเตือน ตั้งเป็น “ประโยคสมมติฐาน” เพื่อใช้ในแผน เช่น เมื่อ A ถูกมอบหมายให้ทำงาน (สิ่งกระตุ้น) A จะพูดเสียงดังหรือพูดคำหยาบ (พฤติกรรม) เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกอึดอัด และเรียกร้องความสนใจจากเพื่อน (ผลลัพธ์)

*สำคัญมาก สมมติฐานนี้ไม่ใช่เพื่อ “ตัดสิน” นักเรียน แต่เพื่อเข้าใจและช่วยให้วางแผนแทรกแซนได้ตรงจุดมากขึ้น

✍️ขั้นตอนที่ 4 : เลือกแผนการแทรกแซง

เป็นขั้นตอนการคิดหาวิธีปรับพฤติกรรมนั้น โดยที่คุณครูต้องวางแผนแทรกแซงให้ครอบคลุมทั้ง “ปัจจัยที่เกิดขึ้น” และ “ผลที่ตามมาหลังพฤติกรรม” ไม่ใช่เพียงแค่ตัวพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว

เช่น

  • “ก่อน” พฤติกรรม : น้อง A รู้สึกว่างานที่ครูมอบหมายยากเกินไป,ถูกแยก >>>>> ลองมอบหมายงานเป็นคู่ โดยให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่สนิทและช่วยกันทำงานให้เสร็จ
  • “หลัง” พฤติกรรม : น้อง A ได้รับความสนใจจากเพื่อนและครู >>> ครูเปลี่ยนวิธีตอบสนอง เช่น ใช้น้ำเสียงสงบ ตั้งสติ พูดเป็นส่วนตัว ไม่เรียกชื่อเสียงดัง ,เสริมแรงพฤติกรรมทางเลือก เช่น หากนักเรียนใช้คำพูดเหมาะสมระหว่างการเรียน จะได้รับ Sticker

สิ่งสำคัญ คือ หากคุณครูสามารถลงลึกถึงสาเหตุที่แท้จริงของพฤติกรรมนั้น ๆ ก็จะช่วยทำให้แผนการแทรกแซงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ชื่อภาพ

✍️ขั้นตอนที่ 5 : พัฒนาแผน BIP

คุณครูเติมข้อมูลลงในเทมเพลตแผนการแทรกแซงอย่างละเอียด และอย่าลืมดึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยใส่รายละเอียดตามหัวข้อที่ระบุในแผน ดังนี้

  • ชื่อนักเรียน
  • พฤติกรรมที่ต้องการแก้ไข
  • การวิเคราะห์พฤติกรรม (FBA)
  • เป้าหมาย (ระบุพฤติกรรมที่ต้องการเห็น)
  • กลยุทธ์การแทรกแซง
  • ผู้รับผิดชอบหลัก
  • วันเริ่มต้นดำเนินการ
  • ระยะเวลาของการดำเนินการ
  • ความถี่และวิธีการติดตามความก้าวหน้า
  • เกณฑ์การวัดผล สามารถดาวน์โหลดเทมเพลตได้ ที่นี่ https://drive.google.com/file/d/16ZNFNRLvrbxvJaNmBE9J--GeCqm6Nost/view?usp=drive_link

✍️ขั้นตอนที่ 6 : ลงมือทำตามแผน

เริ่มจากสื่อสารแผนให้แก่เพื่อนครูได้รับทราบและพยายามทำตามแผนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้

✍️ขั้นตอนที่ 7 : ติดตามและทบทวน

เป็นขั้นตอนที่คุณครูต้องเริ่มเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยติดตามจากการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน การสัมภาษณ์เพื่อนร่วมชั้น หรือคุณครูท่านอื่น แต่อย่าพยายามที่จะรีบปรับแผนจนเกินไป เพราะการปรับพฤติกรรมนักเรียนอาจจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 เดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ และเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดตามแผนแล้ว ขอให้คุณครูพิจารณาผลลัพธ์เพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรยุติแผนหรือปรับใหม่

การสร้างแผน BIP เปรียบเสมือนเครื่องมือทางความคิดที่ช่วยให้นักเรียนปรับพฤติกรรมอย่างยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ยิ่งคุณครูเก็บรวบรวมข้อมูลได้มีคุณภาพและครบถ้วนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยเหลือนักเรียนได้ตรงจุดมากเท่านั้น

ที่สำคัญอย่าลืมชักชวนเพื่อนครูมาร่วมแก้ปัญหานี้ไปด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนของเราได้รับการพัฒนาได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด

อย่าเพิ่งท้อแท้และหมดหวังนะคะ ขอส่งกำลังใจดวงโต ๆ ให้คุณครูทุกท่านค่ะ 🥰

อ้างอิง Allen-Manning, L. (n.d.). What is a behavior intervention plan? [PDF template]. Panorama Education. Retrieved April 23, 2025, from https://www.panoramaed.com/blog/behavior-intervention-plan-bip​


พิเศษ! เปิดคอร์สออนไลน์ชวนคุณครูที่ต้องสอนแนะแนวทุกท่านมาเรียน

ชื่อภาพ

หลักสูตรการเรียนการสอนแนะแนวและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Online)

ถ่ายทอดโดยเพื่อนครูแนะแนวผู้มีประสบการณ์ตรงในการนำไปใช้จนเห็นผลการเปลี่ยนแปลง พร้อมเคล็ดลับและคำแนะนำที่สามารถใช้ได้จริง

✅ เรียนฟรี

✅ ได้ไอเดียและกิจกรรมไปใช้สอนแนะแนว

✅ มีเกียรติบัตร

คลิกสมัครและเริ่มเรียนได้ที่ https://guidancehubth.com/courses


แชทคุยกับเรา